
ทำไมต้อง อาชีพตัวแทนประกันชีวิต?
? ก่อนอ่าน : ผมขอชี้แจงสักนิด
ผมเขียนบทความนี้ ไม่มีเจตนาชวนใครให้มาเป็นตัวแทนประกันชีวิตในบริษัทใดบริษัทหนึ่ง
และขณะนี้ ผมไม่ได้เป็นผู้บริหารในบริษัทประกันชีวิตใดใด
เป็นเพียงการแชร์เรื่องราว เพื่อเป็นตัวอย่างให้เห็น
❤ วิธี #โน้มน้าวใจให้WINWIN ❤ อย่างชัดเจน
และที่มาของการมีรายได้หลักแสนต่อเดือน
หลักล้านต่อปี
✅เมื่อใช้เทคนิคนี้อย่างถูกต้อง
.
ผลของการเรียนรู้เทคนิคนี้
และมีวิธีการใช้อย่างถูกต้อง
เหมือนอย่างที่วิทยาศาสตร์พิสูจน์
คือทำซ้ำแล้วได้ผลเหมือนเดิม
ใครทำถูกวิธีย่อมได้ผลลัพธ์แบบนั้น
.
เมื่ออ่านคำชี้แจงแล้ว เชิญเสพเนื้อหาครับ
.
ผมเข้าสู่อาชีพนี้แบบจับพลัดจับผลู
คือเป็นแบบไม่ได้ตั้งใจ
และผมเชื่อว่า คุณที่กำลังอ่านหนังสือเล่มนี้
ก็คงคล้ายๆ กัน
.
.
คงไม่มีใครที่ตั้งใจตั้งแต่เรียนหนังสือเลยว่า
เรียนจบแล้ว จะเป็นตัวแทนประกันชีวิต
จะเป็นคนขายประกัน
.
.
คุณก็คงมีเหตุผลของคุณที่เลือกอาชีพนี้
.
.
ส่วนผม
ย้อนหลังไปในปี พ.ศ. 2540
.
ผมเข้าสู่งานขายประกันชีวิต
เพราะแม่ผมเข้ามาในธุรกิจประกันชีวิตก่อน
และผมต้องหาทางหาเงินช่วยแม่ผม
ใช้หนี้ราว 30 ล้านบาท
เกิดจากพิษวิกฤตเศรษฐกิจ “ต้มยำกุ้ง”
.
.
ผมไม่เห็นทางอื่นที่หาเงินได้มากๆ
✅โดยไม่ใช้เงินลงทุน
นอกจาก.
“ขายประกันชีวิต”
.
.
ผมทำงานประจำอยู่ได้ไม่ถึงปี
เงินเดือนผมทั้งเดือน
ยังไม่พอใช้ดอกเบี้ยนอกระบบของแม่
.
ผมพยายามทำงานเสริมหลายอย่าง
เช่นสอนพิเศษภาษาอังกฤษช่วงวันหยุด
หรือรับงานแปลหนัง ทั้งสารคดี และหนัง สมัยที่ยังมี UTV (ไม่รู้ใครทันบ้าง)
.
แต่ก็ไม่เป็นผล เสมือนเอาเนื้อหนูมาปะเนื้อช้าง ?
รายได้ของผมไม่พอใช้หนี้ของแม่
อย่าพูดว่าใช้หนี้เลย ใช้ดอกเบี้ยก็ยังไม่พอ
.
หัวหน้าทีมของแม่ผม ณ ตอนนั้น
มาคุยกับผม…
บอกเล่าถึงสิ่งที่ผมจะได้จากการขายประกันชีวิต
.
หัวหน้าแม่ผมพูดว่า
ธุรกิจนี้…
รายได้ไม่มีเพดาน
.
เป็นนายของตัวเอง
.
มีโอกาส เติบโต
ก้าวหน้าเป็นผู้บริหารระดับสูง
รายได้เดือนละเป็นล้านได้
ดูตัวอย่างจาก “เฮียกฤษณะ”
(ปรมาจารย์ใหญ่ในธุรกิจขณะนั้น)
.
ขายประกันชีวิตฉบับหนึ่ง
เหมือนมีบ้านเช่าหนึ่งหลัง กินค่าเช่าไป 20 ปี
(ขายประกันชีวิตมีค่าคอมมิชชั่นปีต่อทุกปี
ถ้าสัญญา 20 ปี ก็มีคอมมิชชั่น 20 ปี)
.
.
สามารถสร้างเงินสิบล้าน ร้อยล้านได้ !!!
.
.
แต่เหตุผลเหล่านั้นยังไม่ทรงพลัง
และไม่โน้มน้าวใจผมได้ เท่ากับคำที่เขาว่า
.
“ผมสามารถช่วยแม่ผมใช้หนี้ได้จากการทำธุรกิจนี้”
และนั่นเป็นเหตุผลเดียวที่ทำให้ผมตัดสินใจก้าวเข้าสู่ธุรกิจนี้เต็มตัวแบบ Full Time
.
ผมและพี่น้องไม่อยากเห็นแม่เครียดเส้นเลือด
ข้างขมับปูดโปนขึ้นมา
พวกเราเศร้าใจทุกครั้งที่เห็นภาพนั้น
และพี่น้องทุกคนอยากกู้วิกฤตครอบครัวเราให้ได้
.
แต่เชื่อไหม ถึงแม้ตัดสินใจไปแล้วนะว่าจะทำธุรกิจนี้เต็มตัว
ข้างในใจผมน่ะ บอกตัวเอง สงสัยตัวเองตลอดเวลา…ผมจะทำได้หรือ??
.
.
เขาบอกให้ผมมาขายประกัน
มาลองดูแบคกราวน์ทางการศึกษาของผมสิ
ว่ามันเอื้อต่อการทำงานขายประกันชีวิตไหม?
.
.
ผมจบการศึกษาจาก คณะอักษรศาสตร์
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เอกภาษาอังกฤษ โทปรัชญา
.
.
คณะที่ผมเรียนเป็นคณะที่ส่วนใหญ่มีแต่เด็กเรียนทั้งนั้น
แน่ๆ เป็นคณะที่ไม่ได้สอนเรื่องการขาย เขาสอนเรื่อง “อักษรศาสตร์”
.
.
ผมไม่ใช่ “นักขาย” มาแต่เกิด
แน่นอน เมื่อไม่มี “ทักษะ”
ผลลัพธ์ก็เป็นที่รู้ๆ กันอยู่
ตอนผมเริ่มต้นงานขายประกัน 3 เดือนแรก
ผมขายไม่ได้เลย
.
เพราะฐานลูกค้าญาติๆ แม่ผมเก็บไปหมดแล้ว
เพื่อนๆ ก็เพิ่งจะเริ่มทำงาน เงินยังไม่ค่อยมีกัน
.
สมัยก่อน
คนมีทัศนะคติไม่ดีกับการประกันชีวิตเอามากๆ
ถ้าคุณทัน และจำได้
มีโฆษณาหนึ่งที่มีคนเอาน้ำไล่สาด
ปิดประตูเหล็กไล่ตัวแทน
.
หรือเปรียบเทียบตัวแทนประกันชีวิตเป็น “แมลงสาป”
นั่นคือภาพสะท้อน มุมมองคนผู้คนที่มีต่อประกันชีวิตในสมัยนั้น
.
แต่ทั้งหมดทั้งมวลผมจะบอกว่า มันไม่เกี่ยวกับใคร
หรือสถานการณ์ใดใดเลย…
.
มนุษย์ส่วนใหญ่ เอาแต่ “กล่าวโทษ”
มนุษย์เก่งในการหาอะไรบางอย่าง
โทษบางสิ่งบางอย่าง
เพื่อจะปกปิดความจริงข้อหนึ่ง
.
เช่นผมเป็นต้น
ผมเคยกล่าวโทษมากมาย อาทิ
.
เศรษฐกิจไม่ดี
.
คนมองประกันไม่ดี คงขายไม่ได้
.
ผมพูดไม่เก่ง
.
ผมไม่เหมาะกับงานขาย
.
และอีกมากมาย
.
เพียงเพื่อที่จะทำให้ตัวเองรู้สึกดี รู้สึกไม่ผิด
ปกปิดความรู้สึกลึกๆ ที่ควรบอกตัวเอง ควรโทษตัวเอง
นั่นคือ
?ผมห่วย
?ผมไม่มีความสามารถ
?ผมไม่มีทักษะ
.
ผมพบว่าการเอาแต่โทษคนอื่น โทษสถานการณ์
มันง่ายมาก ที่จะทำให้รู้สึกดีขึ้น (ชั่วคราว)
แต่…
ไม่ได้ช่วยทำให้ชีวิตผมดีขึ้นเลย
ไม่ได้ช่วยแก้ไขสถานการณ์ใดใดทั้งสิ้น
แค่เพียงหลอกตัวเองไปวันวัน
.
ผมเองก็มีวันที่คิดจะออกจาก ธุรกิจประกันชีวิต เหมือนกัน
วันนั้นเป็นวันสุดท้ายแล้วที่ผมบอกกับตัวเองว่า
“ถ้าขายไม่ได้ คงจะต้องยอมแพ้ กลับไปทำงานประจำเหมือนเดิม”
.
ผมไม่มีลูกค้าที่ไหน
ผมไม่รู้จักวิธีการแสวงหาลูกค้าใหม่
ผมไม่รู้วิธีการต่อลูกค้า
ไม่มีเทคนิค
ไม่มีอะไรทั้งนั้น
.
เหลืออย่างเดียว คือ #ใจที่สู้ จนนาทีสุดท้าย
.
วันนั้นผมไปที่คณะอักษรศาสตร์
ใจผมคิดอย่างเดียว ไม่รู้จะไปหาลูกค้าที่ไหน
ไปหาอาจารย์ท่านแล้วกัน เผื่อท่านจะเมตตา
(คุณสังเกตนะ เวลาไม่มีทักษะ หวังแต่จะให้คนช่วยอย่างเดียวเลย)
.
ผมจบเอกภาษาอังกฤษ
ผมก็ขึ้นไปเดินบนภาควิชาภาษาอังกฤษ
กะว่าถ้าอาจารย์ท่านใดให้ผมคุยเรื่องประกัน
ผมก็จะคุยให้จบๆ ไป วันนี้คงเป็นวันสุดท้ายแล้ว
.
ผมถือกระเป๋าหนังใบเขื่อง
ในนั้นมีนามบัตรและก็แฟ้มขายประกัน
เหมือนตัวแทนประกันชีวิตทั่วๆไป ในสมัยก่อน
.
.
ถ้าวาดภาพตัวผมให้คุณดู
คุณจะเห็นผมใส่เชิ้ตตัวใหญ่ๆ
กางเกงแบบหลวมๆ ทรงลุงๆ เชยๆ
หน้าตากรำแดด ไม่ได้ทาครีมอะไร
หัวฟูยุ่ง บุคคลิกภาพไม่ดีเอาเสียเลย
.
.
ผมเดินหาไปหาอาจารย์หลายท่าน
หลายท่านปฏิเสธผมแบบสุภาพ
ใจผมก็ท้อแท้ทุกครั้งที่ถูกปฏิเสธ
เหมือนมีใครมาบีบหัวใจเล่นจริงๆ
.
จนกระทั่งผมพบอาจารย์ท่านหนึ่ง
และท่านก็เป็น “ก้าวสำคัญ” มากๆ ในอาชีพของผม
ผมไม่รู้หรอกครับ ว่าท่านจะซื้อหรือไม่ซื้อกับผม
.
ผมสวัสดีท่านด้วยความนอบน้อม
ท่านอาจารย์จำผมได้
ท่านถามผมทำอะไร
ผมตอบทำธุรกิจประกันชีวิตครับ
.
ท่านก็ไม่ได้มีสีหน้าสีตารังเกียจเดียดฉันท์อะไร
ผมก็พูดวกไปวนมา ถามโน่น ถามนี่
แต่ไม่ยอมเข้าเรื่องขายประกันเสียที
(คุณเคยเป็นไหม)
.
จนกระทั่งท่านบอกว่า
เดี๋ยวท่านต้องไปสอนแล้ว
.
ผมจึงรวบรวมความกล้าทั้งหมดทั้งมวล
พูดขึ้นว่า…
.
ผม: อาจารย์ครับ ถ้าวันนี้อาจารย์อิ่มมากๆ แล้ว
ต่อให้วันนี้มีใครเอาหูฉลามภัตตาคารดัง
หม้อละเป็นหมื่นมาให้ทาน
อาจารย์ก็คงทานไม่ลง ใช่ไหมครับ?
.
อาจารย์: (พยักหน้า)
.
ผม: แต่ถ้าวันนี้ อาจารย์ไม่ได้ทานข้าวมา 3 วัน
หิวจนไส้จะขาย อาจตายได้
คนใจดีคนหนึ่ง
แค่เพียงเอาข้าวเปล่าคลุกน้ำปลามาให้อาจารย์ทาน
อาจารย์จะจดจำเขาไปตลอดชีวิตใช่ไหมครับ
.
อาจารย์: (พยักหน้า ยิ้มๆ)
.
ผม: อาจารย์ครับ (มองตาอาจารย์) ผมเองในวันนี้ เพิ่งเริ่มอาชีพ
เพิ่งเริ่มงานในธุรกิจประกันชีวิต
.
ผมอยากประสบความสำเร็จในงานของผม
ผมเองไม่ต่างอะไรจากคนที่ไม่ได้ทานข้าวมา 3 วัน หิวจนไส้จะขาด
.
หากแม้นได้ข้าวสักจาน เปรียบเสมือนการสนับสนุนจากผู้ใหญ่ที่เคารพ
.
ในวันที่ผมประสบความสำเร็จแล้ว ใครจะซื้อประกันกับผมก็คงไม่เป็นผลอันใด
.
แต่วันนี้ วันที่เป็นจุดเริ่มต้นของผม สิ่งนี้สำคัญกับผม และจะเป็นก้าวที่ยิ่งใหญ่ของผมครับ
.
ผมอยากจดจำอาจารย์ไปตลอดชีวิต ในฐานะผู้มีพระคุณของผม
.
คุณเอ๋ย ผมพูดประโยคนี้จบ
อาจารย์ท่านสวนทันที “แล้วครูต้องทำเท่าไหร่?”
.
วันนั้นผมเก็บทุนประกันสูงสุดเท่าที่ตัวแทนในสาขาจะเก็บได้ในเดือนนั้น
.
และผมก็จดจำและระลึกคุณท่านอาจารย์เสมอ
ด้วยความเป็นส่วนตัว ผมจึงขออนุญาตสงวนนามท่านไว้
อย่างไรก็ดี
วิธีการที่ใช้นั้น ผมไม่แนะนำนะครับ
เพราะผมมีวิธีการที่ดีกว่าแล้ว
นั่นคือทักษะ #โน้มน้าวใจให้WINWIN
มันไม่ได้ทำให้ลูกค้าตระหนักในประโยชน์ของประกันเลย
.
เป็นแต่เพียงท่านอยากช่วยสนับสนุนใครคนหนึ่ง
.
คุณจะใช้หรือไม่ใช้แล้วแต่ วิจารณญาณของคุณ
.
เล่าให้สั้นเข้า
หลังจากนั้นผมจึงเรียนรู้ และฝึกฝนอย่างหนักในการที่จะประสบความสำเร็จในวิชาชีพ
.
จบปีแรกของการเป็นตัวแทนประกันชีวิต
ผมเริ่มงานมี.ค. 2540
.
สิ้นปี 2540ผมได้แชมป์จำนวนรายอันดับ 2
ขายได้ประมาณ 100 กว่าเคสในปีแรก
.
ปี 2541 ผมเป็นแชมป์จำนวนราย ปีนั้นขายได้ 300 กว่าราย ยังไม่รวมที่ไปช่วยตัวแทนในสังกัดของแม่ขายอีกหลายราย และได้เป็น Agent of the Year
✅Climax: และในเวลา 5 ปีเศษ คุณแม่และพี่น้องร่วมใจเคลียร์หนี้ 30 ล้านนั้นได้สำเร็จ
ใครจะรู้..ผลลัพธ์จากแรงกดดันมหาศาล
มันสร้างตัวตนใหม่ของผม
.
การฝึกฝนและทำซ้ำ ประสบการณ์ในสนามการขายหล่อหลอมผม และสร้างทักษะนี้ขี้นมา
.
.
ผมกลายเป็นวิทยากร ที่ออกเดินสายไปหลายจังหวัดทั่วประเทศไทย ส่งผ่านความรู้และทักษะให้กับ เพื่อนร่วมอาชีพรุ่นสู่รุ่น
ความเห็นล่าสุด